ประวัติ วัดพระเมรุ (จังหวัดนครปฐม)

ประวัติ วัดพระเมรุ ลักษณะดั้งเดิมคือดันเจี้ยนทรงกลมกว้าง 8 เมตร สูง 10 เมตร ปกคลุมไปด้วยหญ้าและต้นไม้ใหญ่อย่างหนาแน่น แต่ปัจจุบันกลายเป็นซากปรักหักพังโบราณที่มีกองอิฐซ้อนกันหลายชั้นปนดิน ใจกลางโบราณสถานมีต้นไม้ใหญ่หลายสิบต้นและหญ้ารก ทำให้ภูมิทัศน์ของโบราณสถานแห่งนี้ดูทรุดโทรมอย่างมาก

ประวัติ วัดพระเมรุ ควรรู้

ประวัติ วัดพระเมรุ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนวัดพระเมรุเป็นโบราณสถานแห่งชาติในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478 หน้า 3686[1] เดิมเป็นวัดโบราณแต่ถูกละทิ้งไปนานแล้ว เมืองโบราณนครปฐมเป็นเมืองผีในตำนาน วัดนี้มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ มากมาย เช่น ตำนานของคุณปู่ส้มที่คอยปกป้องและปกป้องวัดแห่งนี้ หรือหลุมที่ชาวบ้านขุดผิดกฎหมายไว้ชั้นใต้ดินซึ่งน่าจะเป็นอุโมงค์ที่สามารถไปถึงวัดธรรมศาลาได้ จังหวัดนครปฐม. ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 (รัชสมัย พ.ศ. 2453-2468) วัดนี้จึงได้ชื่อว่า “วัดพระเมรุ” เนื่องจากมีรูปลักษณ์ดั้งเดิม มีเพียงฐานเท่านั้นที่สร้างด้วยอิฐหัก ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นโรงเผาศพของกษัตริย์ในสมัยโบราณ

ก่อนการขุดค้นวัดพระเมรุ โบราณสถานแห่งนี้ถูกรื้อถอนหลายครั้ง ทั้งขุดหาสมบัติ ปูอิฐเต็มถนน และขนอิฐไปสร้างอาคารที่วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร ต่อมาระหว่าง พ.ศ. 2481 ถึง พ.ศ. 2482 ได้มีการขุดแต่งและตกแต่งโดยกรมศิลปากรร่วมกับสำนักงานฝรั่งเศสตะวันออก (École française d’Extrême-Orient (EFEO)) ภายใต้การนำของหลวงบริบาล บุรีพันธ์ และนายปิแอร์ ดูปองต์ ( ปิแอร์ ดูปองต์) [2] นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวฝรั่งเศสแห่งโรงเรียนฝรั่งเศสตะวันออก ผลการขุดค้น ช่วงนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาโบราณสถานแห่งนี้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันโบราณสถานวัดพระเมรุยังขาดการบำรุงรักษาเพื่อรักษาสภาพของโบราณสถานที่ถูกขุดค้นและตกแต่งไว้ในอดีต จากมุมมองของวันนี้ สิ่งนี้ทำให้ต้นไม้กลายเป็นป่า

การขุดค้นทางโบราณคดีและการบูรณะ

การขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดพระเมรุ เป็นการขุดค้นที่ต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมาก ขณะนั้นประเทศไทยไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการขุดค้น ดังนั้นเขาจึงขอความช่วยเหลือจากสำนักงานฝรั่งเศสฝั่งตะวันออก (École française d’Extrême-Orient (EFEO)) โดยเข้าใจว่าสำนักงานฝรั่งเศสฝั่งตะวันออกจะเป็นผู้รับผิดชอบงบประมาณ ยกเว้นค่าใช้จ่ายในการเดินทางส่วนที่กรมศิลปากรรับผิดชอบ โดยกรมโบราณคดีได้มอบหมายให้เป็นหลวงบริบาลบุรีพันธ์ กรมศิลปากรควบคุมการขุดค้นร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักตะวันออกฝรั่งเศส นายปิแอร์ ดูปองต์ และแบ่งโบราณวัตถุที่พบระหว่างทั้งสองฝ่าย กรมศิลปากรมีสิทธิเลือกก่อนแล้วจึงปล่อยให้ส่วนที่เหลือเป็นสำนักงานฝรั่งเศสภาคตะวันออก ความร่วมมืออย่างเป็นทางการได้ลงนามเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2480 ที่กรุงเทพฯ ระหว่างอธิบดีกรมศิลปากรและผู้ว่าราชการสำนักตะวันออกฝรั่งเศส โดยการขุดค้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2482 ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2482 รวมเวลา 6 เดือนเต็ม .

ก่อนการขุดค้น วัดพระเมรุคงมีลักษณะเป็นฐานดินกลม สูง 10 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 80 เมตร ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่และหญ้าโดยรอบ การขุดค้นครั้งแรกเริ่มเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2528 เริ่มต้นด้วยการถางต้นไม้เล็กๆ แล้วขุดเต็มจำนวนเริ่มในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2528 ทีมงานขุดค้นมี 50 คน ค่าจ้างต่อคนอยู่ที่ 60 สตางค์ต่อวัน แต่หลังจากขุดพบปัญหาในการจัดการดำเนินการเป็นเวลา 2 วัน จึงเปลี่ยนกำลังแรงงานเป็นนักโทษ 90 คน โดยได้รับค่าจ้างรายวัน 40 สตางค์สำหรับผู้ต้องขัง ซึ่งลดต้นทุนการขุดค้นลงอย่างมากและควบคุมงานได้ง่ายขึ้น

การขุดค้นในระยะแรก จะเป็นการเปิดโครงสร้างหลักของเจดีย์ประธาน เริ่มต้นด้วยการเอาดินและอิฐที่หักออกจากยอดเจดีย์หลักแล้วเคลื่อนลงมาที่ฐานและลงบนพื้น แล้วจึงขุดรอบฐานเจดีย์หลักไปทางตรงกลางเจดีย์ พบว่าเป็นสถูปหลักของวัดพระเมรุ เป็นสถูปทรงกลมขนาดใหญ่ มีฐานสี่เหลี่ยมสูงใหญ่ มีช่องทั้งสี่ด้าน ด้านล่างฐานเจดีย์พบฐานอิฐครึ่งวงกลมด้านทิศตะวันออกและทิศเหนือติดกับฐานเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ภาพที่ยื่นออกมาจากฐานเจดีย์ เมื่อเสร็จแล้วจะเป็นฐานวางองค์พระและฐานครึ่งวงกลมสำหรับวางพระพุทธบาทซึ่งจะวางอยู่บนฐานเจดีย์ทั้งสี่ด้านรวมทั้งพระพุทธรูป 4 องค์ที่ติด ก้อนหินห้อยลงมา ส่วนเท้าสีขาวนั้นก็กระจัดกระจายไปเก็บไว้ที่อื่น แตกต่าง

การขุดค้นขั้นต่อไป การขุดค้นจะดำเนินการในส่วนเริ่มต้นจากฐานครึ่งวงกลม โดยขยายรัศมีการขุดลงไปถึงฐานเจดีย์หลักอีกชั้นหนึ่งด้านล่าง บริเวณใกล้ฐานครึ่งวงกลมซึ่งเป็นที่ตั้งของดอกบัวหลวง สิ่งที่พบคือหลุมกว้าง 50 เซนติเมตร ลึก 80 เซนติเมตร หลายหลุมเรียงกันเป็นแถวยาวยื่นออกมาจากสถูปหลัก เชื่อกันว่านี่คือหลุมเสาของโคปุระ เป็นซุ้มประตูทางเข้าหลังคากุฏิที่ล้อมรอบฐานเจดีย์หลัก ในทิศทางเดียวกันกับบันไดโคปุระที่มีรูปร่างเป็นอัฒจันทร์หรือครึ่งวงกลมซึ่งนำไปสู่ฐานพระพุทธรูปด้านบน แล้วทรงขุดลึกลงไปตรงกลางสถูปหลัก พบทองคำชิ้นหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นแผ่นมงคลในการก่อสร้างวัดพระเมรุและสถานที่ทางศาสนาอื่น ๆ อีกมากมายในประเทศไทย และพบร่องรอยหลุมที่เคยถูกขุดผิดกฎหมายมาแล้ว 2 แห่ง คือที่แกนกลางและที่ฐานด้านตะวันออกของเจดีย์ประธาน จึงเป็นที่มาของความเชื่อว่าเป็นอุโมงค์ที่สามารถทะลุเข้าสู่วัดธรรมศาลาได้

ประวัติ วัดพระเมรุ การขุดเจาะพื้นที่ตั้งแต่แนวเสาโกปุระไปจนถึงฐานที่ติดกับพื้นดิน พบทางเดินกุฏิยาวรอบเจดีย์ ซากกำแพงด้านตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือได้รับการอนุรักษ์ไว้ โดยมีกำแพงสูง 2 ถึง 3 เมตร นอกจากนี้ยังมีประตูทางเข้ากว้าง 1.20 เมตร อยู่ที่กำแพงกุฏิด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผนังกุฏิชั้นนอกเป็นฉาบปูน และสร้างคลองซึ่งเชื่อกันว่าสร้างไว้เพื่อรองรับพระพุทธรูป เพราะในระหว่างการขุดค้นมีมากมาย

 

บทความแนะนำ